ค้ำประกันซื้อรถ โดนหมายศาลยึดบ้าน

การที่ผู้ค้ำประกันถูกยึดบ้าน เนื่องจากลูกหนี้ที่เป็นผู้กู้ไม่ชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถนั้น เป็นไปตามหลักกฎหมายว่าด้วยการประกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 679 วรรคสอง บัญญัติว่า “ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในหนี้นั้นเพียงเท่าที่ตนได้ประกันไว้” และมาตรา 680 บัญญัติว่า “เมื่อผู้กู้ไม่ชำระหนี้ ผู้ให้กู้มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้และผู้ค้ำประกันได้”

ดังนั้น เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถ เจ้าหนี้ซึ่งเป็นบริษัทไฟแนนซ์จึงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้และผู้ค้ำประกันได้ โดยเจ้าหนี้สามารถดำเนินการฟ้องร้องลูกหนี้และผู้ค้ำประกันต่อศาลได้ และหากศาลพิพากษาให้ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันร่วมกันชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็สามารถบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้และผู้ค้ำประกันได้ตามกฎหมาย

ในกรณีที่ผู้ค้ำประกันถูกยึดบ้านนั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้ค้ำประกันได้ประกันหนี้ของลูกหนี้ไว้เท่าใด หากผู้ค้ำประกันได้ประกันหนี้ของลูกหนี้ไว้เต็มจำนวนที่ลูกหนี้กู้ยืมมา เจ้าหนี้ก็สามารถยึดบ้านของผู้ค้ำประกันได้ทั้งหมดเพื่อชำระหนี้ของลูกหนี้ได้ หากผู้ค้ำประกันได้ประกันหนี้ของลูกหนี้ไว้เพียงบางส่วน เจ้าหนี้จะสามารถยึดบ้านของผู้ค้ำประกันได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ที่เหลือจะต้องไปบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้ค้ำประกันถูกยึดบ้านนั้น ผู้ค้ำประกันยังสามารถดำเนินการต่อสู้คดีเพื่อลดจำนวนหนี้หรือเพื่อไม่ให้ถูกยึดบ้านได้ โดยผู้ค้ำประกันอาจอ้างสิทธิตามกฎหมายต่างๆ เพื่อต่อสู้คดี เช่น

  • อ้างว่าลูกหนี้ได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว
  • อ้างว่าลูกหนี้ได้ส่งมอบรถคืนให้แก่บริษัทไฟแนนซ์แล้ว
  • อ้างว่าบริษัทไฟแนนซ์ไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อ เช่น ไม่ส่งมอบรถให้แก่ลูกหนี้ตามกำหนด

นอกจากนี้ ผู้ค้ำประกันยังสามารถยื่นคำขอไกล่เกลี่ยต่อศาลเพื่อให้เจ้าหนี้ยอมลดจำนวนหนี้หรือยอมไม่ยึดบ้านได้อีกด้วย

ดังนั้น หากผู้ค้ำประกันถูกยึดบ้าน เนื่องจากลูกหนี้ที่เป็นผู้กู้ไม่ชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถ ผู้ค้ำประกันควรรีบปรึกษาทนายความเพื่อพิจารณาแนวทางในการต่อสู้คดีและเพื่อปกป้องสิทธิของตนเองต่อไป

นอกจากนี้ ผู้ค้ำประกันควรระมัดระวังในการค้ำประกันหนี้ให้แก่ผู้อื่น โดยควรพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือของลูกหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ก่อนตัดสินใจค้ำประกันหนี้ให้แก่ผู้อื่น

ในกรณีนี้ หากผู้ค้ำประกันได้รับหมายศาลยึดบ้านแล้ว ผู้ค้ำประกันควรดำเนินการดังนี้

  1. รีบปรึกษาทนายความเพื่อพิจารณาแนวทางในการต่อสู้คดีและเพื่อปกป้องสิทธิของตนเองต่อไป
  2. รวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี เช่น สัญญาเช่าซื้อรถ ใบเสร็จรับเงินค่าผ่อนชำระ ใบแจ้งหนี้ค่าปรับ เป็นต้น
  3. ติดต่อลูกหนี้เพื่อเจรจาหาทางออกร่วมกัน
  4. หากไม่สามารถเจรจากันได้ ผู้ค้ำประกันอาจพิจารณายื่นคำขอไกล่เกลี่ยต่อศาล

ทั้งนี้ ผู้ค้ำประกันควรดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง เพื่อปกป้องสิทธิของตนเองและเพื่อไม่ให้เสียเปรียบในการดำเนินคดี

Share on: